close icon
Stories
Mascot Workwell Image Mascot Gowell Image Mascot joinwell Image Mascot Eatwell Image Mascot Livewell Image Mascot Seewell Image
TrawellStories
Trawell

Reading: นรา น่ารัก : ทิ้งความกลัวไว้บ้านแล้วจะพบว่า นราธิวาสน่ารักกว่าที่คิด

Trawell
Contact search
Go Well 5.5k

นรา น่ารัก
ทิ้งความกลัวไว้บ้านแล้วจะพบว่า
นราธิวาสน่ารักกว่าที่คิด

23 February 2021 เรื่อง กันยณัฏฐ์ พรจันทร์ทอง ภาพ แทนไท นามเสน

“สิ่งเดียวที่ไม่น่ารักในนราธิวาสคือบังเกอร์และรั้วลวดหนาม”

คือสิ่งที่เราค้นพบหลังจากได้ลงมาสัมผัสกับเมืองริมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ และยังเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามแบบสุดทาง กับภาพของ “นราธิวาส” ในหัวของทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างในอดีต

ในวันนั้นที่ไม่มีใครพร้อมใจให้เราเดินทางลงมาที่นี่ด้วยเหตุผลทำนองว่า “มันน่ากลัวนะ” “จะอันตรายรึเปล่า” แต่บอกเลยว่า ตลอด 6 วันที่อยู่ที่นี่ยังไม่มีเลยสักนาทีเดียวที่ทำให้เรารู้สึกกลัว

นราธิวาสที่เรารู้จักเป็นเมืองน่ารักที่มีแมว แพะ ลิง และไก่ เดินไปเดินมาตั้งแต่ชายหาดยันริมถนน
เป็นเมืองที่คึกคักหลังฟ้ามืด ที่ห้าทุ่มเที่ยงคืนคนเมืองยังออกมานั่งแฮงค์เอ้าท์กินโรตีกันที่ร้านน้ำชา
เป็นเมืองที่เราได้เจอคนอ่อนโยนใจดีมากมายที่พร้อมยิ้มทักทายและช่วยเหลือคนแปลกหน้า
เป็นเมืองที่อาหารทุกอย่างจานใหญ่ ถูก และอร่อยมาก!!!
เป็นเมืองที่ไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนที่ใครๆ เขาพูดกันเลย อย่างน้อยๆ ก็ปลอดภัยกว่ากรุงเทพทุกวันนี้แน่นอน

แต่บอกลอยๆ ทุกคนอาจจะยังไม่เชื่อ วันนี้เราเลยจะมาพาทุกคนไปสัมผัสกับความน่ารักไซส์พกพาผ่านการเดินเล่นในตัวเมืองนราฯ ไปด้วยกัน

โดยในวันนี้เราจะเริ่มเดินเท้ากันตั้งแต่ตลาดสดเทศบาลเมืองนราธิวาส ลัดเลาะผ่านถนนกลางย่านเมืองเก่านราธิวาสหลังมัสยิดกลางหลังเก่า เลียบแม่น้ำบางนราออกสู่ปากแม่น้ำและข้ามสะพานไปเดินเล่นริมหาดนราทัศน์ ก่อนจะกลับมาจบที่มัสยิดกลางนราธิวาสแห่งปัจจุบัน เป็นอันจบเส้นทางการเดินสั้นๆ ในวันนี้

เช้านี้เราตื่นตั้งแต่ตี 5 เดินข้ามถนนพิชิตบำรุงโดยมีจุดหมายแรกเป็นการแวะไปเดินเล่นที่ตลาดสดเทศบาลเมืองนราธิวาส ตลาดเช้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมอิมพีเรียล โรงแรมที่พวกเราพักกันในวันนี้

สิ่งแรกที่ทักทายเราตั้งแต่หน้าตลาดก็คือแผงขายผัก ผลไม้ พืชสวน พืชไร่ อาหารสด อาหารแห้ง และอาหารทะเล ที่ตั้งเรียงรายกันแน่นไม่ต่างจากความคึกคักของชาวนราฯหลากวัยหลายอายุที่เดินทางมาซื้อกับข้าวและวัตถุดิบกลับไปทำอาหารกันตั้งแต่เช้าตรู่ โดยส่วนใหญ่แล้ว นอกจากรถมอเตอร์ไซค์คันจิ๋วจะเป็นทางเลือกสุดฮิตในการเดินทางของชาวเมือง ที่ตลาดแห่งนี้เรายังเห็น ‘ซาเล้ง’ หรือรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างถูกหยิบมาใช้ขนทั้งลูกๆ หลานๆ และอาหารหลายถุงจากตลาดจอดเรียงรายกันเต็มข้างถนนไปน้อยไปกว่ากัน

ถัดจากโซนของสด เดินลึกเข้ามาอีกหน่อยเราก็จะได้เจอกับร้านข้าวแกงอาหารฮาลาลปรุงสำเร็จ ขนมหวานนานาชนิด ชากาแฟ ไปจนถึงเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้สารพัดในรูปแบบที่ไม่ต้องมีห้างสรรพสินค้าก็อยู่ได้ครบจบแบบสบายๆ

พี่แม่ค้าคนสวยเล่าให้เราฟังว่า ตลาดสดเทศบาลเมืองนราธิวาสแห่งนี้ไม่ใช่ตลาดธรรมดา แต่เป็นตลาดสดสองศาสนา โดยหน้าตลาดฝั่งถนนพิชิตบำรุงที่เรากำลังยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้ เป็นตลาดฝั่งอิสลาม ดังนั้นถ้าสังเกตดีๆ เราจะพบว่าในตลาดฝั่งนี้ไม่มีหมูหรืออาหารที่ไม่ฮาลาลขายอยู่เลย และถ้าหากชาวพุธอยากจะซื้ออาหารเมื่อไหร่ ก็ทำได้ง่ายๆ แค่เดินทะลุผ่านเข้าไปอีกฝั่งหนึ่งของตลาดเท่านั้นก็จะเจอทุกสิ่งที่คุณต้องการ

เมื่อลองเดินตามคำบอกเล่าเข้าไปถึงด้านในสุดของตลาด เราก็ได้พบกับซอยเล็กๆ ที่เป็นตัวกั้นระหว่างทั้งสองศาสนา จากแผงขายปลา ก็เริ่มเห็นเนื้อหมูสดๆ ไส้อั่ว และเบคอนโผล่มาทักทาย ใกล้จนแม้แต่แม่ค้าก็ยังตะโกนเม้าท์กันข้ามฝั่งถนน ใกล้จนไม่น่าเชื่อว่าห่างกันเพียงแค่ไม่ก้าววัฒนธรรมที่หลายคนคิดว่าห่างไกลและไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้กลับผสมผสานกันอย่างลงตัว

เมื่อเราเดินทะลุออกมาอีกฝากของตลาด (ฝั่งถนนภูผาภักดี) ก็ได้เวลาเดินเล่นกันต่อ โดยเราเลือกเดินย้อนกลับไปอีกหน่อย เพื่อไปเริ่มต้นที่ ‘มัสยิดยุมอียะห์’ หรือ ‘มัสยิดกลางนราธิวาสหลังเก่า’ ที่ตั้งเลยออกไปอีกไม่ไกล

ตลอดทางนอกจากจะมีแมวเหมียวตัวน้อยคอยร้องอ้อนทักทายให้ใจอ่อนระทวยเป็นพักๆ แล้ว สิ่งอีกทำให้ใจเราหวั่นไหวยิ่งกว่าก็คือสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสที่ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบจีนและโปรตุเกส ของบ้านเรือน ร้านค้า และอาคารพาณิชย์ที่เรียงรายกันอยู่สองข้างทางของถนนภูผาภักดี ซึ่งเคยเป็นย่านการค้าที่สำคัญของนราธิวาส

แต่ถ้าถามถึงตึกที่โดดเด่นที่สุดบนถนนภูผาภักดี ไม่ว่าใครก็ต้องยกให้ ‘บ้านบุหรง’ ห้องแถว 4 คูหาสีเหลืองอร่าม อาคารแรกในจังหวัดนราธิวาสที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปตั้งแต่ปี 2479 ที่บอกเลยว่าถึงจะมองผ่านๆเห็นหน้าบ้านกว้างแค่ 4 คูหาหรือประมาณไม่เกิน 5 เมตร แต่จริงๆ แล้วตัวตึกนั้นลึกถึง 40 เมตร คือตั้งแต่ริมถนนภูผาภักดีไปจนถึงริมแม่น้ำบางนรานู้นเลย!

บ้านบุหรง

เดินเลยบ้านบุหรงมาไม่ไกลเราก็เริ่มมองเห็นหลังคาโดมของมัสยิดยุมอียะห์จากด้านหลังกันแล้ว โดยตัวโดมสีเขียวเข้มนี้ถูกสร้างเลียนแบบโดมของมัสยิดในเมืองเมดิน่า ประเทศซาอุดิอาระเบีย ตามคำสั่งของพระยาภูผาภักดี เจ้าเมืองระแงะ (ผู้เป็นที่มาของชื่อถนน) ในปี 2482 เพื่อเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาของประชาชน แต่ด้วยช่วงนี้ที่สถานการณ์ของโรคระบาดไม่ปกติเท่าที่ควร เราจึงทำได้แค่ยืนสักการะอยู่ด้านนอกเท่านั้น

หลังเดินกลับออกจากซอยมัสยิดเราก็เริ่มเดินเลียบถนนภูผาภักดี ฝั่งแม่น้ำบางนราไปเรื่อยๆ ร้านค้าและอาคารช่วงนี้ก็ยังคงเป็นตึกเก่าที่สวยงามไม่น้อยไปกว่าเดิม เพิ่มเติมคือมีสไตล์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น คือมีทั้งเรือนไม้สไตล์ปั้นหยาแบบไทยโบราณ ตึกแถวแบบจีน แถมด้วยร้านอาคารสุดคลาสสิคของเมืองนราฯอย่าง ‘ร้านมังกรทอง’ สไตล์จีนโบราณสีเหลืองสดใส และ ‘ร้านมันตรา’ ที่มีบาร์สีส้มสไตล์ 70s คอยทักทายทุกคนอยู่หน้าร้าน

ให้ทายว่าก๊ะคนนี้ขายอะไร? ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะเราเองก็ยืนจดๆ จ้องๆ อยู่นานจนก๊ะยิ้มแล้วอธิบายว่า ขวดที่ตั้งเรียงรายเหล่านี้จริงๆ แล้วคือหัวน้ำหอมสไตล์สาวๆมลายูที่เปิดให้ลูกค้ามายืนจิ้มผสมปรุงกลิ่นได้ตามใจชอบ จะเติมแอลกอฮอล์เพื่อเจือจางไว้ใช้ฉีดพ่น หรือจะใช้หัวน้ำหอมเข้มข้นแตะตามข้อพับก็ได้ทั้งนั้น

ร้านนี้ก็เท่ไม่เบา เพราะนอกจากในร้านจะขายทั้งอาหารทะเลแห้งหลากหลายชนิด รวมถึงปลาหมึกแล้ว ชื่อร้านยังชื่อ ‘ปลาหมึก’ ด้วยเหมือนกัน

เดินต่อมาอีกไม่กี่อึดใจ เราก็ได้เจอกับสะพานที่จะพาเราไปยังจุดหมายถัดไปกันแล้ว เพราะสวนสาธารณะเทศบาลเมืองนราธิวาสและหาดนราทัศน์นั้นตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่แยกออกจากฝั่งมาไม่ไกล โดยจากบนสะพานเราจะมองเห็น ‘หมู่บ้านประมงคลองโคกเคียน’ หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณปากแม่น้ำปากนรา สังเกตเห็นได้ง่ายๆ จากบ้านเรือนและเรือกอและสีสันสดใสที่ซ่อนตัวอยู่ในเวิ้งน้ำบริเวณนั้นนี่เอง

หลายคนเห็นแล้วอาจจะงงว่าทำไมจังหวัดที่ผู้คนเกือบ 90% นับถือศาสนาอิสลามถึงได้มีสัญลักษณ์เป็น ‘พญานาค’ ซึ่งดูเกี่ยวข้องกับความเชื่อแบบพุทธ แต่จริงๆ แล้วสาเหตุที่มาจากการที่เทศบาลเมืองนราธิวาสเคยมีชื่อเดิมว่า ‘ตำบลบางนาค’ หรือ ‘ตำบลบือนาฆอ’ ในภาษามลายู ก่อนจะถูกเปลี่ยนมาชื่อตำบลบางนราตามชื่อจังหวัดนราธิวาสนั่นเอง!

เพราะเรามาที่นี่ในช่วงเกือบเที่ยงตรงที่แดดร้อนเปรี้ยงผ่าลงกลางหัวแถมยังเป็นในช่วงหน้ามรสุม ชายหาดนราทัศน์ที่ปกติจะคึกคักไปด้วยผู้คนและเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญของชาวนราฯจึงเงียบสงบ เหลือเพียงพี่ๆชาวประมงที่ออกมานั่งตกปลาตามปกติในช่วงกลางวัน น้องแพะที่ปักหลักอยู่ริมหาด และนักเดินเล่นอย่างพวกเราเท่านั้นบนหาดทรายสีขาวที่ยาวถึง 5 เมตร

พวกเราตัดสินใจเดินเลียบชายหาดไปยังสุดปลายแหลมซึ่งเป็นที่ตั้งของประภาคารขนาดกระทัดรัดสีขาวสะอาดที่ค่อยส่งสัญญาณให้กับเหล่านักเดินเรืออยู่บริเวณจุดตัดของปากแม่น้ำบางนราและทะเลจีนใต้

จากบนสะพานปูนที่ยื่นลงไปในทะเล เราจะสามารถมองเห็นสีของน้ำทะเลและแม่น้ำที่เป็นคนละสีได้อย่างชัดเจน และถึงแดดจะร้อนไปหน่อย แต่ความปลอดโปร่งและกว้างขวางของทะเลไกลสุดลูกหูลูกตาที่รอต้อนรับเราอยู่ที่ปลายแหลมก็เป็นทิวทัศน์ที่คุ้มไม่เบาเลยแหละ 🙂

หลังจากนั่งมองทะเลและสูดอากาศสดใสที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของแสงแดดจนเต็มปอดก็ได้เวลามุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการเดินเล่นในเมืองวันนี้ของเราซะแล้ว เราค่อยๆเดินช้าๆกลับจากปลายแหลมเข้ามาในสวนสาธารณะพลางปรึกษากันว่าจะเดินไปมัสยิดกลางไหวไหมเพราะร่างกายที่เดินมาตลอดทั้งเช้าก็เริ่มล้าเต็มที

ตอนนั้นเองที่เราได้ยินเสียงสวรรค์จากแบใจดีแห่งร้านไอศกรีมกะทิที่แอบได้ยินความกังวลของพวกเราว่าถามขึ้นมาเบาๆ “ให้ผมไปส่งไหม?” ดังนั้นการเดินทางสุดท้ายของเราจึงเปลี่ยนสไตล์จากการเดินเท้ามาเป็นการนั่งซาเล้งพ่วงข้างไปกับแบและลูกสาวทั้งสองคนแทน นั่งรถมาไม่ไกลเราก็มาถึงมัสยิดกลางจังหวัดนราธิวาสหลังปัจจุบันกันแล้ว เป็นการเดินทางสั้นๆ ที่ทั้งน่ารักและสบายเย็นสุดๆ

มัสยิดประจำจังหวัดนราธิวาส หรือมัสยิดกลางนราธิวาส เป็นอาคารสูงใหญ่ 3 ชั้นพร้อมหอคอยที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบอิสลามประยุกต์เพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส

เมื่อเราเตรียมจะเอ่ยคำขอบคุณและบอกลา แบก็เสนอว่าจะจอดรถรอพวกเราเดินชมมัสยิดกันจนเสร็จ แล้วขับไปส่งเราถึงที่โรงแรมด้วยเลยดีกว่า เพราะจากตรงนี้ไปโรงแรมก็ค่อนข้างไกล จะได้ไม่ต้องเรียกรถหรือเดินต่อกันอีก พวกเราจึงขอบคุณแบยกใหญ่แล้วรีบลงจากรถไปเดินชมรอบมัสยิดกลางจนหนำใจก่อนจะกลับมาขึ้นรถคันเดิมอีกครั้ง

และแล้วการเดินทางสั้นๆครึ่งวันในเมืองนราฯของเราก็จบลง

สิ่งที่เราได้พบในวันนี้คือชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย, แบๆก๊ะๆที่ใจดีและคอยช่วยเหลือคนแปลกหน้า ต่างศาสนาอย่างเราโดยไม่หวังอะไรตอบแทน, ตึกและอาคารเก่าบนถนนภูผาภักดีที่สวยจับใจ. เหล่าแมวและแพะขี้อ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆของเมือง. ตลาดที่แบ่งสรรปันส่วนพื้นที่ให้คนสองศาสนาสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างพอดิบพอดี อ้าว ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวแบบที่คิดไว้เลยนี่นา

เราไม่รู้ว่าเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นแบบไหน แต่วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ ‘นราน่ากลัว’ ก็คือจินตนาการและความคิดของตัวเราเองทั้งนั้น เป็นแค่ตัวเราเองนี่แหละที่ยังขังนราธิวาสเอาไว้ไม่ให้เดินทางต่อไปสู่อนาคต

เพราะถ้าด่านตรวจและรั้วลวดหนาม (ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเอาไว้กั้นอะไร) ออกไป ที่นี่ก็คงเต็มไปด้วยคำว่าน่ารักจริงๆนั่นแหละ 🙂

Contributors

contributor's photo

กันยณัฏฐ์ พรจันทร์ทอง

Writer

นักเขียน, นักเดินทาง, เด็กหญิงผู้เติบโตในเมืองเก่า ที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้จัดกระเป๋าออกไปรู้จักโลก ปัจจุบันกำลัง In a Relationship with ศิลปะ หนัง พิพิธภัณฑ์ เสื้อผ้ามือสองและการเดินเรื่อยเปื่อย

contributor's photo

แทนไท นามเสน

Photographer

นักศึกษาปริญญาโทผู้ชอบมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของเรื่องเล่าผ่านเรื่องเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม

Next read