จำครั้งสุดท้ายที่คุณชวนใครสักคนไปเดินเล่นได้ไหม?
“ไปเดินเล่นกันมั้ย?” ประโยคธรรมดาๆ ที่หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหู เคยสงสัยไหมว่าทำไมสมัยนี้เราถึงไม่ค่อยชวนหรือโดนชวนออกไปเดินเล่นเลย ทั้งๆที่ “การเดินเล่น” นั้นดูเป็นกิจกรรมที่สุดแสนจะเรียบง่าย
อาจเพราะสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจ ตอนเช้าฝนตก ตอนบ่ายก็แดดออกซะแล้ว แถมร่มเงาจากต้นไม้ข้างทางก็มีน้อยลงทุกที หรือเพราะทางเท้าที่ขรุขระเกินกว่าจะเดินได้อย่างปลอดภัยไม่สะดุดล้ม และป้ายโฆษณาที่ชอบโผล่มาตามอำเภอใจ ทำให้ต้องคอยเดินอ้อมๆ หลบๆ จนหมดสนุกเอาได้
แต่ไม่ว่าใครจะพูดยังไงและไม่ว่าเหตุผลจะมากมายขนาดไหน ชาว Trawell อย่างเราก็ยังดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟัง จะขอออกไปท้าพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้ง ว่า “การเดินเล่น” ในกรุงเทพฯ เป็นกิจกรรมที่ควรไปต่อหรือพอได้แล้ว
วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมาเดินเลียบคลองมหานาคไปด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ ไปจนถึงทางรถไฟหลังตลาดโบ๊เบ๊ ด้วยการเดินเลียบ ‘คลองล้วนๆ’ ไม่มีริมถนนผสม มาดูซิว่า พวกเราบังเอิญเจออะไรน่าสนใจระหว่างทางบ้างนะ? 🙂
ป.ล. แอบกระซิบว่าประสบการณ์และความประทับใจอาจต่างออกไปตามความบังเอิญและพรหมลิขิตในแต่ละวัน อย่าลืมไปพิสูจน์ด้วยตัวเองหรือชวนเพื่อนสักคนออกไปเดินเล่นด้วยกันนะ
A map of random moments along the “คลอง”
- ท่าฉันบังเอิญเป็นคนเดินจากไป
- ภูเขาทองไม่ใช่ซอส
- ต้นไผ่ยักษ์ที่พักใจ
- นกน้อยทำรังแต่พอตัว
- เครื่อง run ไม่เว้นวรรค
- เหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอ
- พี่ครับๆ ที่นี่มีแฟนขายมั้ย?
- ถ้าไม่รักเธอแล้วจะให้ไปรักแมวที่ไหน
เพราะสถานที่ ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เราพบเจอในแต่ละวันล้วนเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ และสายตาของแต่ละคนที่มองและตีความสิ่งเหล่านั้นก็แตกต่างกันเป็นธรรมดา เรื่องราวระหว่างการเดินเล่นของเราจึงมีความพิเศษในแบบของมันเอง ตัวอักษรและภาพต่อไปนี้คือเรื่องราวจากมุมมองของเรา แต่เรื่องราวของคุณนั้นจะเป็นแบบไหน ต้องลองตัดสินใจก้าวเท้าออกไปเริ่มผจญภัยด้วยตัวเอง!
ท่าฉันเป็นคนบังเอิญเดินจากไป
การเดินเล่นของเราเริ่มต้นที่ ‘ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ’ เส้นทางเรือด่วนคลองแสนแสบที่เชื่อมต่อชีวิตคนในแต่ละพื้นที่เข้าด้วยกัน ตั้งแต่พื้นที่เมืองเก่าอย่างราชดำเนิน ไปจนถึงพื้นที่กลางเมืองอย่างสยาม-ประตูน้ำ และยาวไปจนถึงนอกเมืองอย่างบางกะปิเลยทีเดียว
สบายใจทั้งราคาค่าโดยสารที่ถูกแสนถูก เริ่มตั้งแต่ 8-20 บาท และหมดกังวลเรื่องรถติด (อาจเหม็นน้ำคลองบ้างเล็กน้อย) ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเมื่อเทียบกับการขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นๆ ในช่วงเวลาเร่งด่วนของวัน
ภูเขาทองไม่ใช่ซอส
ถ้ามองจากตรงข้ามท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ ก็จะเห็นยอดภูเขาทอง (ที่ไม่ใช่ทั้งซอสและภูเขา แต่เป็นเจดีย์) ตั้งตระหง่านอยู่หลังกำแพงยาวสีเหลือง เจดีย์นี้สร้างขึ้นในพื้นที่ ‘วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร’ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จนแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา และใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่รัชกาลที่ 5
ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปนมัสการองค์เจดีย์บนยอดภูเขาทองและชมวิวกรุงเทพได้ตั้งแต่เวลา 8.00 – 18.00 น. เข้าฟรีสำหรับคนไทย (ชาวต่างชาติ 50 บาท) การเดินขึ้นไปถึงยอดนั้นต้องเดินขึ้นบันไดสูงถึง 344 ขั้น แต่วิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตอนพลบค่ำทำให้หายเหนื่อยได้ดีเลยล่ะ
ต้นไผ่ยักษ์ที่พักใจ
เดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ ต่อจากท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศไปเล็กน้อย มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นซุ้มต้นไผ่ยักษ์ที่มีเก้าอี้เล็กๆ วางอยู่หนึ่งตัว บางครั้งมีคนนั่ง แต่บางครั้งก็มีแมว ถือเป็นพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ที่ช่วยชุบชูจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งคลอง
แสบกว่าคลองก็สีเสื้อผมนี่แหละคร้าบบบ
ระหว่างการเดินเล่นของเรา มีเรือแล่นผ่านไปมาหลายลำ เรือก็คล้ายๆ กันหมดนั่นแหละ แต่คนบนเรือนี่สิ น่าสนใจ พ้อยเท้าเอยอะไรเอย ไว้ลองสังเกตดูสิ
กองไม๊? ไม่กอง
ไม้เหล่านี้มีที่มา สมัยก่อนแถวนี้เคยเป็นย่านโรงเลื่อยไม้เก่า (ข้างวัดสระเกศ ริมคลองมหานาค) ถือเป็นแหล่งวัตถุดิชั้นดีที่แสนใกล้ จึงทำให้แถวนี้มีร้านทำประตูหน้าต่างไม้เยอะ แม้ปัจจุบันโรงเลื่อยไม้จะย้ายไปอยู่เขตนอกเมืองอย่างบางโพแล้ว ก็ยังมีร้านค้าไม้เก่าแก่ที่เปิดมาจนถึงรุ่นที่ 3-4 ดำเนินกิจการอยู่เหมือนเดิม
นกน้อยทำรังแต่พอตัว
ตลอดการเดินเล่น สองข้างทางเดินเลียบคลองส่วนใหญ่จะเป็นบ้านคน ที่ประดับตกแต่งเอาไว้ตามความชอบส่วนตัว เช่น บ้านนี้ชอบเลี้ยงนก
และบ้านนี้คงจะชอบอะไรน่ารักปุ๊กปิ๊ก อย่างเช่นถุงเท้าซานต้า และอุปกรณ์ซักผ้าจิ๋ว
บ้านเธอมีน้ำมันมั้ย? จะเอามาทอดสะพานเชื่อมระหว่างใจเรา
เดินเล่นไปเรื่อยๆ จะเจอทางข้าม ‘สะพานนริศดำรัส’ หรือ ‘สะพานดำ’ เป็นสะพานข้ามคลองมหานาค สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2442 โดยมีชื่อคล้องจองกับอีกสองสะพานที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน คือ สะพานโสมนัศนาคราและสะพานอาวาศวิจิตร เพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ลองมองวิวคลองจากบนสะพานดูสิ สวยดีนะ
ผมเป็นลูกครึ่ง
นอกจากสถานที่ สิ่งของ และต้นไม้แล้ว พวกเรายังเจอคุณป้าขายฟูกคนนี้ด้วย คุณป้าเดินขายเป็นประจำอยู่แถวนี้ ใครบังเอิญผ่านไปเจอก็อุดหนุนได้นะ
(ห้าม)ทิ้ง แต่ เก็บ
ดูเหมือนว่าป้าย ‘โปรดรักษาความสะอาด’ จะค่อนข้างใช้ได้ผล เพราะระหว่างทางที่เดินเล่น พวกเราแทบไม่เห็นขยะตามพื้นเลย หรือว่าปลิวไปอยู่ในคลองหมดแล้วก็ไม่รู้นะ
คลองแสนแสบยังคงส่งกลิ่นเหม็นอยู่ เป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือฝูงปลาตัวเล็ก มากมายแหวกว่ายอยู่ในนั้น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคุณภาพน้ำในคลองอาจจะกำลังดีขึ้นก็ได้ สิ่งเล็กๆ ที่พวกเราบางคนพยายามทำเป็นกิจวัตร เช่น ทิ้งขยะให้ถูกที่ มันไม่ได้สูญเปล่านะ
ที่ใดมีกำแพง ที่นั่นมีศิลปะ
รอยขูดขีดเขียนตามผนัง หรือ ‘Graffiti’ เกิดขึ้นครั้งแรกโดยกลุ่มคนผิวดำในช่วงที่สหรัฐอเมริกามีปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวอย่างหนักในปีค.ศ.1954 ศิลปะเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความสุนทรีย์ของชีวิตแต่อย่างใด แต่เกิดจากความขมขื่นของคนผิวดำที่ต้องอยู่ในฐานะ ‘คนชายขอบ’ ของสังคมมาอย่างยาวนาน การแสดงออกทางศิลปะนี้จึงเป็นตัวอย่างของการต่อต้านระบบความคิดที่บิดเบี้ยวของสังคมกระแสหลัก
แม้ศิลปะเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ถูกที่ถูกทาง แต่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้ว่าสังคมของเรานั้นยังขาดพื้นที่สำหรับให้คนชนชั้นล่างได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เปล่งเสียง และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา ทำให้ต้องระบายความในใจออกมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ผ่านศิลปะตามผนังริมทางเหล่านี้
‘หน้าต่างบ้านผมอยู่หลังกำแพงนั่น’ เด็กน้อยคนหนึ่งกล่าว
เครื่อง run ไม่เว้นวรรค
ซอยเล็กๆ ข้างคลองมีเครื่องปั่นจักรยานหยอดเหรียญตั้งอยู่ด้วย เผื่อใครเบื่อเดินเล่น อยากจะวิ่งสักหน่อย ตรงข้ามเป็นกำแพงเพ้นท์รูปสวนสาธารณะซะด้วย คงช่วยให้จินตนาการได้ว่ากำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ร่มรื่น ชาวบ้านนี่เค้าก็ไอเดียดีจริงๆ เลยนะ!
บ้านพี่อยู่ฝั่งขะนู้น บ้านน้องอยู่ฝั่งขะนี้
ข้ามไปข้ามมา
สนามเด็กเล่น (ในฝัน)
ระหว่างเดินก็ระวังเด็กโผล่มาจากพุ่มไม้นะ พวกเราเจอมาแล้ว แต่สำหรับเด็กๆ พวกเขาอาจจินตนาการว่าตัวเองกำลังกระโดดออกจากประตูตู้พิศวง ด้วยการช่วยเหลือจากราชสีห์ผู้ชาญฉลาด หลบหนีแม่มดที่สาปให้โลกต้องตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวชั่วนิรันดร์ก็ได้นะ
เขียนเสือ ให้ลุงกลัว
แต่ดูเหมือนว่าลุงจะไม่กลัวนะ
เหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอ
หมายถึง ถ้าเดินเหนื่อยก็ปั่นจักรยานมาได้ มีที่จอดก่อนถึงท่าเรือโบ๊เบ๊ อย่าลืมล็อคด้วยล่ะ
พี่ครับๆ ที่นี่มีแฟนขายมั้ย?
แฟนต้า
มองเห็นยอดมัสยิด
ถึงโบ๊เบ๊ทาวเวอร์แล้ว แวะช้อปปิ้งสักหน่อยเปล่า?
ถ้าไม่รักเธอแล้ว จะให้ไปรักแมวที่ไหน
เดินจากไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้แมวจู๋จี๋กันดีกว่า
รู้หมือไร่? รถไฟมีสองขา ขาไปกับขากลับ แฮ่!
และแล้วการเดินเล่นเลียบคลองของเราก็จบลงที่นี่ ซึ่งเป็นทางรถไฟที่ตรงมาจากสถานีหัวลำโพง และตัดผ่านชุมชนหลังตลาดโบ๊เบ๊ ช่วงเย็นๆ จะมีรถไฟผ่านไปมาหลายขบวน ชาวบ้านที่ต้องเดินข้ามไปอีกฝั่งก็ต้องหยุดรอสักหน่อย
We’re going back to the start
นั่งเรือกลับไปที่จุดเริ่มต้นกันเถอะ ระหว่างระยะเวลาสองสามนาทีที่อยู่บนเรือ เราก็คิดไปเพลินๆ ว่า สิ่งที่พบเจอตลอดการเดินเล่นเลียบคลองวันนี้ แม้จะมีทั้งความร้อน ความเหนื่อย และความเมื่อยขา แต่ก็มีความทรงจำดีๆ จากโม้เม้นน่ารักๆ ของสถานที่ ผู้คน และธรรมชาติตลอดทาง
เราได้เห็นความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกันระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในพื้นที่เล็กๆ ของกรุงเทพมหานคร แสงแดดช่วยให้ผ้าที่ตากอยู่แห้งสนิทและมีกลิ่นหอมสะอาด ในขณะที่ร่มไม้ข้างทางช่วยให้ความร่มรื่น และบังตัวเราจากแสงแดดนั้น เรือโดยสารพาเรากลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ในขณะที่ป้ายรักษาความสะอาดริมคลองช่วยเคลียร์พื้นที่ให้เรือโดยสารขับเคลื่อนไปได้อย่างไม่มีสะดุด โดยมี ‘คนตัวเล็กๆ’ ที่ทิ้งขยะลงถังเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสมดุลนี้
ดังนั้น ลองหาเวลาว่าง แล้วออกไปสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวบ้างนะ 🙂
Contributors
รักษิณา สิทธิคงศักดิ์
Writerสาวน้อยในเมืองใหญ่ ผู้มี love-hate relationship w/ Bangkok ตื่นเช้ามาเพื่อขอบคุณการมีอยู่ของอาหารอร่อย ขนแมว และบัตเตอร์สก็อต